ถูกใจคนไทย

หอมปากชาลิ้น’ถูกใจคนไทย

ถึงไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า ‘หม่าล่า’ เข้ามาไทยตอนไหน โดยวิธีใด แต่ตามความเชื่อที่ว่าอาหารจีนเป็นของคนจีน และทั้งคู่น่าจะออกเดินทางพร้อมกัน ก็ทำให้เราต้องหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับประมาณสองพันปีก่อนช่วงวัฒนธรรมฮั่นแพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนไทยเองก็ยอมรับวิธีปรุงอาหารของจีนอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งวิธีต้มแกงใสๆ และการใช้เครื่องครัวสำคัญอย่าง มีด เขียง กระทะเหล็ก ฯลฯ
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดสองปีนี้ คือกิจการร้านปิ้งย่างหม่าล่า โดยเฉพาะในแถบเชียงรายและเชียงใหม่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ทั้งที่เป็นตึกแถว 2-3 คูหา รถเข็นคันเล็ก-ใหญ่ ให้ลูกค้าเลือกตามสะดวกว่าจะนั่งตากแอร์ รับลม หรือยืนกินอาบน้ำค้างใต้แสงจันทร์หน้าผับบาร์ ซึ่งลักษณะนี้คล้ายกับ ‘ร้านซาวเข่า’ อาหารปิ้งย่างบาร์บีคิวสไตล์จีนในนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ที่มีอยู่ตามมุมถนนและหากินได้ไม่ยากยามค่ำคืน
แรกเริ่ม หม่าล่าในไทยเป็นที่รู้จักผ่าน ‘ปิ้งย่างยูนนาน’ เมนูหมู หมึก กุ้ง ไก่ ไส้กรอก แฮม เห็ดออรินจิ เห็ดเข็มทอง และผักสารพัดเช่นข้าวโพดและกระเจี๊ยบเสียบไม้ เคลือบด้วยผงหม่าล่าก่อนจะนำไปปิ้งให้สุก ราคาไม้ละ 5-30 บาท แต่ละเจ้าต่างมีเคล็ดลับมัดใจลูกค้า เช่น หมักเนื้อสัตว์และผักด้วยผงหม่าล่าทิ้งไว้ก่อนจะนำไปปิ้ง เคลือบผงหม่าล่าบนเนื้อสัตว์และผักซ้ำไปมาขณะปิ้ง หรือไม่ก็ยกเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง อย่างกุยช่ายและพริกป่น ที่ยิ่งทานก็ยิ่งชาปากชาลิ้น จนหลายคนแทบรับรสความหวานหรือความเย็นของเครื่องดื่มไม่ได้อีก ทั้งที่ตั้งใจกินหม่าล่าเป็นกับแกล้มเท่านั้น
มีข้อสันนิษฐานด้วยว่า ชาวจีนยูนนานในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ริเริ่มร้านหม่าล่าในไทย แล้วขายดีเทน้ำเทท่าจนมีคนแห่เปิดร้านหม่าล่าตามกันเป็นดอกเห็ด วัตถุดิบก็หาได้ง่าย เพราะสามารถสั่งซื้อจากชาวจีนที่เดินทางไปกลับไทย-ยูนนานเป็นประจำซึ่งมีชายแดนห่างกันเพียง 250 กิโลเมตร มีตัวเชื่อมอย่างทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางเพียง 4-5 ชั่วโมง และมีเที่ยวบินจากคุนหมิงมาลงกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ทุกวัน
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ข้อมูลการคลังที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2558 ประเทศไทยขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าเครื่องเทศจากจีนมากเป็นอันดับหนึ่ง โดยนำเข้าเครื่องเทศจีนมากถึง 1,490,526,795,289 บาท จากมูลค่าการนำเข้าเครื่องเทศรวม 6,904,724,991,900 บาท จากหลายสิบประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการขายพริกหม่าล่าและซอสหม่าล่าแบบเดลิเวอรี ให้เราหาซื้อมาปรุงรสสปาเก็ตตี ผัดมาม่าไปถึงส้มตำได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงการขายแฟรนไชส์ Food Truck หม่าล่า
หลังจากเราได้สัมผัสกับความเผ็ดชาหลายครั้ง ก็ชวนให้อยากรู้ต่อว่า ต่อไป หม่าล่าจะเป็นอีกวัฒนธรรมการกินที่ค่อยๆ แทรกซึมในวิถีชีวิตคนไทย หรือจะเป็นกระแสธุรกิจร้านอาหารที่ผ่านมาและผ่านไปเพียงชั่วคราว

ถ่ายภาพโดย ขจรศิริ อุ่ยมานะชัย
ที่มา:https://themomentum.co/mala-chinese-spices/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น